top of page

Case Study: "หน้างานปราบเซียน" วิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของกำแพงกันดินพังถล่ม

  • รูปภาพนักเขียน: Kallaya Tanthawoo
    Kallaya Tanthawoo
  • 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
  • ยาว 2 นาที

สวัสดีครับ Engineer Story ครับ

ในทุกฤดูฝน... โทรศัพท์ของทีมวิศวกรเราจะดังขึ้น "ทุกเดือน" ครับ และบทสนทนาก็มักจะซ้ำๆ เดิมๆ คือ "กำแพงกันดินที่บ้านพังครับ/ค่ะ"

หลายคนมักคิดว่ากำแพงเตี้ยๆ แค่เมตรสองเมตร ใครๆ ก็ทำได้ จ้าง "ช่าง" แถวบ้านที่ "เคยทำ" มาก่อนก็ได้... จนกระทั่ง "หายนะ" เกิดขึ้นจริง

วันนี้ ผมจะพาไปดู Case Study จากหน้างานจริงที่เราเข้าไป "แก้ไข" กำแพงกันดินสูงประมาณ 2 เมตร ที่พังทลายลงมา และนี่คือสภาพหน้างานที่เราพบครับ


าพถ่ายมุมกว้าง บ้านริมคลองที่กำแพงกันดินพัง ดินทรุดตัวเป็นโพรงขนาดใหญ่หน้าบ้าน ขณะที่ช่างกำลังก่อสร้างกำลังหนักใจ
ภาพรวมความเสียหาย "หน้างานปราบเซียน" ที่ดินทรุดตัวพังทลายลงคลองทั้งแถบ จนลานคอนกรีตหน้าบ้านแขวนลอยอยู่กลางอากาศ กำแพงกันดินริมน้ำพังถล่ม

และนี่คือคลิปวิดีโอที่วิศวกรของเราลงพื้นที่วิเคราะห์สาเหตุโดยละเอียดครับ กำแพงกันดินพัง! 🤯 เพราะอะไร? ทำอย่างไรให้ได้กำแพงกันดินที่ดี? ✅ (วิศวกรไขสาเหตุ)


บททดสอบที่แท้จริง: เมื่อ "ช่าง" ทุกราย...ส่ายหน้าหนีให้กับงานกำแพงกันดิน ริมน้ำ พังถล่ม ณ ที่แห่งนี้


เคสนี้มีความท้าทายซ้อนอยู่ครับ... ลูกค้าติดต่อเราเข้ามาทาง Facebook และเล่าให้ฟังว่า "มีช่างเข้าไปดูหน้างานแล้วหลายเจ้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำเลย(ท้าทายเราอีกแล้ว)

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะนี่คือ "หน้างานปราบเซียน" ครับ

ต้องพูดตามตรงว่า ในการซ่อมผนังกันดินที่พังทลาย "หลังจาก" ที่มีสิ่งปลูกสร้าง (อาคาร) เข้าไปสร้างแล้ว ไม่มีหน้างานไหนที่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่จะมี "ข้อจำกัดเรื่องพื้นที่" ที่เครื่องจักรจะเข้าไปแก้ไขได้ยากมาก

เคสนี้ก็เช่นกัน จุดที่เครื่องจักรจะเข้าไปทำงานได้นั้น "แคบ" และเสี่ยงอันตราย ช่างทุกเจ้าที่เข้าไปดูจึง "ส่ายหน้าหนี" และไม่มีใครเสนอราคาสักคน... เจ้าของบ้านบอกว่า "มีชัยเสรีบิลเดอร์เสนอราคาอยู่คนเดียว ไม่ได้สู้กับใครเลย"

นี่คืองานที่ท้าทาย "การวางแผนทางวิศวกรรม" (Engineering Planning) อย่างแท้จริง เราคิดไว้หลายวิธีมาก แต่ด้วยข้อจำกัดหน้างาน ทำให้ทางเลือกถูกตัดออกไปจนเหลือแค่ทางเดียว คือการใช้ Backhoe เข้าไปแก้ไข โดยการ "สร้างพื้นที่" ให้ Backhoe เหยียบอย่างมั่นคง ด้วยการเสริมความแข็งแรงของพื้นชั่วคราว


"ซ่อมกำแพงกันดินที่พังแค่บางส่วนได้ไหม?"

บทเรียนราคาแพงในคืนฝนตก


อีกหนึ่งคำถามคลาสสิกที่เราเจอเสมอคือ เจ้าของบ้านถามเราว่า: "ซ่อมเป็นบางส่วนได้หรือไม่? ไม่ต้องรื้อหมด"

การแก้ไขกำแพงกันดินทรุดแบบชั่วคราวโดยใช้ไม้ตอกยึดริมคลอง แสดงให้เห็นดินที่ทรุดตัวและท่อประปา
ช่างใช้ไม้ตอกยึดดินไว้ชั่วคราว เพื่อชะลอการพังของดิน และป้องกันระบบท่อและบ่อบำบัดอยู่ชิดแนว
กำแพงกันดินที่เหลืออยู่ หลังจากไปสำรวจหน้างาน เป็นการขาดความเข้าใจของช่างในการก่อสร้างกำแพงกันดิน
กำแพงกันดินที่เหลืออยู่ หลังจากไปสำรวจหน้างาน เป็นการขาดความเข้าใจของช่างในการก่อสร้างกำแพงกันดิน

ในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา เราให้คำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดว่า: "ในเมื่อแบบก่อสร้างเดิมมันพิสูจน์แล้วว่าถล่มได้... ส่วนที่ยังไม่ถล่ม ก็แค่รอวันที่จะถล่มเหมือนกันครับ จุดเดียวที่จะพอวางใจได้ คือจุดที่ระดับดินไม่ได้แตกต่างกันมากเกินไปเท่านั้น"

เรายืนยันว่าต้องรื้อทำใหม่ทั้งระบบ...

และคืนนั้นเอง... "ฝนก็ตก" กำแพงที่เหลือก็ค่อยๆ พังทลายลงไปอีกเรื่อยๆ จนเจ้าของบ้านต้องรีบติดต่อกลับมาหาเราด้วยความกังวลอย่างหนัก เพราะกลัวว่า "บ้านจะสไลด์ลงไปด้วย"

ภาพบรรยากาศหน้างานกำแพงกันดินพังในวันฝนตก มองจากลานคอนกรีตไปฝั่งตรงข้าม
สภาพหน้างานในวันฝนตก แสดงให้เห็นถึงปริมาณน้ำในคลองและความชื้นในดิน ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้ดินอุ้มน้ำและเพิ่มแรงดันมหาศาลจนกำแพงที่ไม่ได้มาตรฐานพังทลาย
ภาพกลางคืนขณะฝนตก แสดงกำแพงกันดินส่วนที่เหลือพังทลายลงคลอง
ภาพจริงในคืนที่ฝนตก... "บทเรียนราคาแพง" ที่พิสูจน์ว่าการพังทลายไม่เคยหยุดรอ หลังจากเจ้าของบ้านลังเลที่จะซ่อมทั้งหมด คืนนั้นฝนก็ตกหนักและกำแพงส่วนที่เหลือก็พังทลายลงมาตามที่วิศวกรได้ประเมินไว้

นี่คือบทพิสูจน์ว่า "การพังทลาย" ไม่เคยหยุดรอ การแก้ไขปัญหาแบบ "ซ่อมบางส่วน" ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาทางวิศวกรรม แต่เป็นเพียงการ "ยืดเวลา" ของหายนะออกไปเท่านั้น


ผ่า 3 ความเข้าใจผิดร้ายแรง ที่นำไปสู่การพังทลาย


เมื่อเหตุการณ์พิสูจน์แล้วว่าต้องรื้อทำใหม่ทั้งหมด... เรามาดูกันครับว่า "สาเหตุที่แท้จริง" ของการพังครั้งนี้ เกิดจากอะไร ซึ่งมันคือความเข้าใจผิดร้ายแรง ที่เราพบบ่อยมากครับ


1. เข้าใจผิดว่า "รั้ว" คือ "กำแพงกันดิน" (และความจริงเรื่อง 'วิศวกรภาคี')


นี่คือจุดที่อันตรายที่สุดครับ เราพบบ่อยมากที่เจ้าของบ้านส่ง "แบบ" มาให้ดู แต่สิ่งที่เขาเรียกว่า "กำแพงกันดิน" แท้จริงแล้วคือ "แบบรั้ว" (Fence Design) ธรรมดา

"รั้ว" ถูกออกแบบมาให้รับ "แรงลม" (Wind Load) แต่ "กำแพงกันดิน" (Retaining Wall) ต้องออกแบบมารับ "แรงดันดินมหาศาล" (Lateral Earth Pressure) ซึ่งมากกว่าแรงลมหลายสิบเท่า

แล้วทำไมแบบนี้ถึงออกมาได้? เรามักจะพบว่า...

  1. งานสูงเกิน 2 เมตร (ซึ่งกฎหมายบังคับต้องใช้ "สามัญวิศวกร")

  2. แต่ผู้เขียนแบบเป็น "วิศวกรระดับภาคี"

  3. มีการ "เลี่ยงบาลี" โดยการไม่เขียนคำว่า "กำแพงกันดิน" ลงในแบบ แต่เขียนแค่ "รั้วคอนกรีต" เพื่อให้แบบนั้นผ่าน

    แบบกำแพงกันดินที่ลูกค้าส่งมาให้ดู และสอบถามการเข้าไปซ่อมแซม หากสังเกตุที่ตัวแบบจุดที่ระบุระดับดินเดิม ทำให้ทราบว่า ช่างก่อสร้างผิดแบบ หรือวิศวกรออกแบบผิดวัตถุประสงค์
    แบบกำแพงกันดินที่ลูกค้าส่งมาให้ดู และสอบถามการเข้าไปซ่อมแซม หากสังเกตุที่ตัวแบบจุดที่ระบุระดับดินเดิม ทำให้ทราบว่า ช่างก่อสร้างผิดแบบ หรือวิศวกรออกแบบผิดวัตถุประสงค์

นี่คือการ "สร้างโดยปราศจากวิศวกรตัวจริง" ครับ ผลลัพธ์คือได้โครงสร้างที่ "หน้าตาเหมือน" แต่ "ความแข็งแรงไม่ใช่" และรอวันพังทลายเท่านั้น


2. สเปกมั่ว (เพราะไม่มีแบบที่ถูกต้อง)


เมื่อไม่มี "แบบ" จากวิศวกรที่คำนวณจริง การเลือกใช้วัสดุก็ผิดพลาดมหันต์

  • ปัญหา A: เข็มสั้นเกินไป จากในคลิป วิศวกรของเราวิเคราะห์ว่า กำแพงสูงกันดิน 2 เมตร แต่ช่างใช้ "...เสาเข็ม เนี่ยมันสั้น...กดลงไปในดินแค่ประมาณ 2 เมตแค่นั้นเอง" ตามหลักวิศวกรรม อัตราส่วน 1:1 นี้ "ไม่มีทาง" ต้านทานแรงดันดินได้เลยครับ (เทียบกับวิธีแก้ของเราในตอนหน้า ที่กันดิน 2 เมตร แต่เราใช้เข็มยาว 6 เมตร ฝังลึก 4 เมตร)

  • ปัญหา B: ไม่มีระบบยึดรั้ง กำแพงที่สูงขนาดนี้จำเป็นต้องมีตัวยึดรั้ง (Stay หรือ Anchor) เพื่อช่วยดึงกำแพงไว้ แต่กำแพงเดิมที่พังลงมานั้น "...ไม่มีสเตย์ยึด" เลยแม้แต่ตัวเดียว

  • ปัญหา C: ไม่เสียบแผ่นในร่องเสาเข็ม การที่ไม่ใส่เข็มในร่องเสาเข็มทำให้แผ่นผนังกันดินสามารถเลื่อนหลุดได้

  • ปัญหา D: ความยาวแผ่นกันดินยาวเกินไป และวิธีการไม่ถูกต้อง หากดูจากลักษณะที่ทำไว้ ความยาวแผ่น 4 ม. พอทำเสร็จ ก็กดเข็มเพิ่มเพื่อยันแผ่นไว้อีที เพื่อกันล้ม

สาเหตุกำแพงกันดินพังถล่ม เนื่องจากไม่มีแบบ และก่อสร้างผิดวิธี
การทำกำแพงกันดินที่ไม่มีแบบ และผิดวิธี
สาเหตุกำแพงกันดินพังถล่ม เนื่องจากไม่มีแบบ และก่อสร้างผิดวิธี
สาเหตุกำแพงกันดินพังถล่ม เนื่องจากไม่มีแบบ และก่อสร้างผิดวิธี

3. ฆาตกรที่มองไม่เห็น: "แรงดันน้ำ"


นี่คือฟางเส้นสุดท้ายครับ กำแพงที่อ่อนแอจากข้อ 1-2 แค่รอวันพัง และ "น้ำฝน" คือตัวเร่ง

ช่างที่ "กะเอา" มักจะคิดถึงแค่ "แรงดันดิน" แต่ลืมคิดถึง "แรงดันน้ำ" (Hydrostatic Pressure) อย่างที่ในคลิปวิเคราะห์ชัดเจน: "...พอเป็นหน้าฝน...ดินมันมีการอุ้มน้ำ...น้ำหนักมันเพิ่มขึ้นก็คือ เกือบ 3 เท่า...พอมันอุ้มน้ำแล้วก็น้ำหนักมันเพิ่มมากขึ้นมันก็รับไม่ ไหวมันก็พัง"

นี่คือหลักฐานว่า ช่างไม่ได้ออกแบบ "ระบบระบายน้ำหลังกำแพง" (Sub-drain) ที่ถูกต้อง พอน้ำไม่มีทางออก มันก็สะสมแรงดันมหาศาล และดันกำแพงทั้งแผงให้พังทลายลงมา

สาเหตุที่กำแพงกันดินพังในหน้าฝน เพราะ ช่างส่วนใหญ่ มักทำตามๆกันมา ไม่มีการออกแบบ และ มักจะคิดถึงแค่ "แรงดันดิน" แต่ลืมคิดถึง "แรงดันน้ำ"
สาเหตุที่กำแพงกันดินพังในหน้าฝน เพราะ ช่างส่วนใหญ่ มักทำตามๆกันมา ไม่มีการออกแบบ และ มักจะคิดถึงแค่ "แรงดันดิน" แต่ลืมคิดถึง "แรงดันน้ำ"
เมื่อมีสิ่งปลูกสร้าง อยู่ชิดกำแพงกันดิน เมื่อกำแพงกันดินพัลถล่มจะมีความเสี่ยงในการใช้งานอาคารข้างเคียง
เมื่อมีสิ่งปลูกสร้าง อยู่ชิดกำแพงกันดิน เมื่อกำแพงกันดินพัลถล่มจะมีความเสี่ยงในการใช้งานอาคารข้างเคียง

บทสรุปสาเหตุกำแพงกันดินพังถล่ม (บทเรียนราคาแพง)


"การพังทลาย" นี้ ไม่ใช่ "อุบัติเหตุ" ครับ แต่มันคือ "ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้" จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดตั้งแต่วันแรก... วันที่เลือก "แบบรั้ว" แทน "แบบกำแพงกันดิน" หรือเลือก "ช่าง" แทน "วิศวกร"

ราคาของ "การสร้างใหม่" ถูกกว่า "การรื้อซ่อม" เสมอครับ

ถ้าคุณกำลังกังวลว่ากำแพงของคุณอาจไม่ปลอดภัย, เห็นสัญญาณเตือน (รอยร้าว, การบวม, การเอียง), หรือกำลังเจอปัญหาหน้างานยากๆ ที่ช่างรายอื่นส่ายหน้าหนี อย่ารอให้มันพัง... [นัดวิศวกรเข้าสำรวจหน้างาน] 

ใน Blog หน้า... เราจะมาดูกระบวนการ "แก้ไข" ที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม ว่าเราเปลี่ยน "หายนะ" นี้ และเอาชนะ "หน้างานปราบเซียน" นี้ได้อย่างไร

ความคิดเห็น


bottom of page